รีวิวงานแต่งเรียบง่ายแต่ไม่จำเจ เก๋ตรงบ่าวสาวเป็นพิธีกรเอง @ Sofitel Bangkok Sukhumvit

Sofitel Bangkok Sukhumvit สถานที่แต่งงานสวย มีความ Flexible

       จูนกับพี่วิทได้คุยกันและตั้งโจทย์ในการเลือกสถานที่จัดงานแต่งว่าอยากได้เป็นสถานที่ที่เดินทางสะดวก ใกล้บ้านสุขุมวิท 11 และที่สำคัญต้องรองรับแขกจำนวนมากได้ เราได้ตระเวนทัวร์โรงแรมกันอย่างสนุกสนาน จนในที่สุดก็มาเจอ Sofitel Bangkok Sukhumvit (โซฟิเทล กรุงเทพ สุขุมวิท) ที่ครบ จบทุกอย่างในที่เดียว ทั้งสถานที่ที่มีความสวยงามตามสไตล์ที่ชอบ รองรับแขกได้ 500-700 คน และอยู่ในโลเคชั่นที่ต้องการ

       ที่สำคัญคุณซี Director of Sales น่ารักกับเรามากๆ ต้องบอกว่าตอนเตรียมงาน เราทั้งคู่ค่อนข้างหนักใจเพราะเจอสถานการณ์พิเศษอย่างโควิดที่ขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถกำหนดอะไรที่ชัดเจนได้ แต่ก็ได้คุณซีที่พร้อมพูดคุย ปรับเปลี่ยน มีความใส่ใจ เข้าใจความต้องการของเราทั้งคู่ และ Flexible มากๆ ทั้งในเรื่องของแนวทางการจัดงานที่สามารถทำได้ในเวลานั้นๆ รวมไปถึงแผนค่าใช้จ่ายต่างๆ ตรงนี้เองทำให้เราเตรียมงานได้จนสำเร็จตามที่ตั้งใจ แม้จะคาดเดาอนาคตไม่ได้เลยก็ตาม ซึ่งการซัพพอร์ตที่ยอดเยี่ยมนี้ เราสัมผัสได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปชมสถานที่และได้พูดคุยกันเลย จึงตัดสินใจเลือกที่นี่เป็นสถานที่จัดงานแต่งงานของเราค่ะ

งานเช้าแบบจีน เน้นเรียบง่าย พิธีการกระชับ

       งานของเราเป็นแบบพิธีเช้า เลี้ยงฉลองเย็น โดยจัดงานแยกห้องกันเลยค่ะ ในช่วงเช้าเราใช้ห้อง Inspiration Room ที่ชั้น 3 ซึ่งเป็นห้องที่ขนาดไม่ใหญ่ โดยปกติแล้วจะรับแขกได้ประมาณ 50-60 คน แต่ในช่วงสถานการณ์โควิด ทำให้เราต้องเว้นระยะห่างและปรับจำนวนแขกที่อยู่ในห้องพิธีประมาณ 40 คนเท่านั้น และยังมีพื้นที่ทั่วบริเวณชั้นจัดงาน (นอกห้องพิธี) ที่ทางโรงแรมซัพพอร์ตเราเพิ่มเติมด้วย มีการจัดเรียงโต๊ะ เก้าอี้ พร้อมอาหารและเครื่องดื่มสำหรับรับรองแขก สามารถรับรองแขกที่มาร่วมงานช่วงเช้าทั้งสิ้นประมาณ 110 คนได้อย่างราบรื่น

       สำหรับช่วงนี้เป็นพิธีการสำหรับครอบครัวและญาติเป็นหลัก จูนกับพี่วิทมองว่าอยากได้ความรู้สึกเหมือนจัดงานที่บ้าน เน้นความมินิมอลเรียบง่าย จึงเลือกใช้แพ็กเกจตกแต่งของทางโรงแรมเลย ซึ่งจะมีเฉพาะโลโก้ ดอกไม้ เก้าอี้เท่านั้น โดยทั้งหมดเราเลือกเป็นโทนสีแดง ชมพู เขียว ขาว เพื่อให้รู้สึกถึงความอบอุ่น ดูทันสมัย แต่ยังไม่ละทิ้งความเป็นจีนไปค่ะ

       ด้วยความที่ครอบครัวเราทั้ง 2 คนเป็นครอบครัวจีน เราจึงเน้นพิธีจีนเป็นหลัก ในช่วงพิธีที่โรงแรมเราจึงมีแค่การแห่ขันหมาก รับตัวเจ้าสาว สู่ขอสวมแหวน และยกน้ำชาเท่านั้น และเมื่อเสร็จพิธีการแล้วก็เป็นการไปส่งตัวที่บ้านเจ้าบ่าวต่อเลย 

       ซึ่งในระหว่างที่เจ้าภาพไม่อยู่ ทางเราได้จัดเตรียมอาหารสำหรับมื้อเที่ยงไว้ให้แขกทานด้วย โดยใช้พื้นที่บริเวณด้านนอกห้อง Inspiration Room เลย ซึ่งสะดวกและแขกแฮปปี้มากๆ ค่ะ

งานเย็นโรแมนติกด้วยกิมมิคพระจันทร์และแสงไฟ

       สำหรับงานเลี้ยงเย็นเราใช้เป็นห้อง Le Grand Ballroom บริเวณชั้น 7 ต้องบอกว่าสำหรับการตกแต่งงานเย็นเป็นอะไรที่คิดหนักและต้องทำการบ้านพอสมควร หาดู Reference จากหลายๆ ที่ รวมถึงจากงานของบ่าวสาวรุ่นพี่ในเว็บ SabuyWedding แล้วนำมาปรับใช้ แต่ยังคงความเป็นตัวตนและความชอบของเราทั้งคู่ใส่ลงไปในธีมงานด้วย คือนำพระจันทร์ที่พี่วิทชอบใช้เป็น highlight ของงาน และใช้ความระยิบระยับเป็นประกายของดาวดาวที่จูนชอบ จึงเกิดเป็นไฟดาวที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณ โดยใช้สีหลักเป็นสีน้ำเงิน 

       นอกจากนี้โจทย์หลักสำคัญอีกอย่างของงานคือไม่ใช้ดอกไม้ในการตกแต่งเด็ดขาด เพราะเจ้าบ่าวแพ้เกสรดอกไม้ แต่ก็จะมีบ้างประปรายที่ทางโรงแรมนำไปวางไว้ตามจุดต่างๆเท่านั้น เช่น โต๊ะลงทะเบียน โต๊ะทานข้าวค่ะ

       เมื่อเดินออกจากลิฟต์มาสิ่งแรกที่แขกจะเจอก่อนเลยคือโต๊ะลงทะเบียน ถัดไปจะเป็นส่วนของแกลอรี่ที่ตั้งเรียงเป็นแนวทางเดิน และก่อนเข้าสู่บริเวณงานจะเจอกับโครงไฟเหล็กดัดพร้อมรูปซิลูเอทขนาดใหญ่ 5x2.5 เมตร ที่เป็นอีกหนึ่งกิมมิคของงาน แล้วพอเดินไปอีกนิดก็จะเจอกับ Backdrop โดยตรงนี้เราทำเป็นงานโครงสร้าง มีความโค้งพลิ้วเปรียบเสมือนสายสมที่โอมอุ้มเราอยู่ ตัวฉากหลังเป็นสีน้ำเงินเข้ม ตกแต่งด้วยไฟดาวและโลโก้ค่ะ

       ตรงโลโก้ของงาน นอกจากมีรูปร่างโดดเด่นและสวยงามแล้ว ยังมีความหมายพิเศษแฝงอยู่อีกด้วยค่ะ คือ 1.Infinity คือตัวโลโก้ที่ประกอบไปด้วยตัว V และ J เป็นการออกแบบที่ลากเส้นได้ตั้งแต่ต้นจนจบแบบไม่มีการขาดออกจากกัน 2. Harmony ความกลมเกลียว คือการที่ทั้งสองตัวอักษรผสานเป็นตัวเดียวกันและโอบล้อมกันอยู่ และสุดท้าย Happiness คือการครองรักของเราทั้งคู่ ที่มีแต่ความสุข สนุกสนาน เช่นในวันแต่งงานนี้ตลอดไปค่ะ 

       สำหรับในห้องจัดงานเราตกแต่งแค่ส่วนของเวทีเท่านั้นเลย โดยจะทำพื้นเวทีเป็นรูปแบบวงกลม ใช้ผ้าดำไฟดาวเป็นฉากหลัง มีโลโก้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนเวทีและมีพระจันทร์แฮงกิ้งจากเพดานลงมาอยู่ด้านหน้าค่ะ 

พิธีเลี้ยงฉลองอบอุ่น บ่าวสาวเป็นพิธีกรเอง

       พิธีการตอนเย็นเราตั้งใจว่าไม่อยากให้มีการตัดเค้กหรือรินแชมเปญ จึงปรับเป็นการเต้นรำ First Dance ช่วงเปิดตัวบ่าวสาว และเมื่อจบก็จะมีปล่อย Paper blow เป็นสัญญาณของการเริ่มงานฉลอง จากนั้นก็เชิญประธานขึ้นมากล่าวเปิดงานและคล้องพวงมาลัยบ่าวสาว แล้วต่อด้วยช่วงถามตอบพูดคุยกัน มอบเค้กผู้ใหญ่ โยนดอกไม้ และตบท้ายด้วยการถ่ายรูปบนเวทีกับแขกที่มาในงานค่ะ

       งานของเราหลังจากเปิดตัวแล้ว บ่าวสาวก็ครองไมค์ยาว เป็นพิธีกรกันเองด้วยนะคะ(หัวเราะ) คือด้วยความที่ผู้ที่มาร่วมงานมีแต่คนที่เรารักและเคารพ เราอยากให้งานมีบรรยากาศที่อบอุ่น เป็นกันเอง เหมือนงานรวมญาติ ซึ่งการจ้างพิธีกรเรารู้สึกว่าเขาไม่ได้รู้จัก ไม่ได้ทราบเรื่องราวของเราดี ครั้นจะเอาเพื่อนมาเป็นพิธีกรก็อยากให้เขาเอ็นจอยกับงานมากกว่า เลยลงเอยกันที่จูนกับพี่วิทตัดสินใจเลือกเป็นพิธีกรดำเนินงานกันเอง จะมีแค่ตอบบ่าวสาวไปมอบเค้กผู้ใหญ่เท่านั้นที่มีคนมาช่วยพูดค่ะ(หัวเราะ)

ปรับงานเพื่อความปลอดภัยและความสบายใจของแขก 

       จากสถานการณ์โควิดแพร่ระบาด ทำให้พึ่งกลับมาคลายล็อกจัดงานได้อีกครั้งเมื่อ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา งานเราจึงถือเป็นงานแรกๆ ที่กลับมาจัดได้ปกติ เราเลยให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยเป็นอย่างมาก มีการปรับเปลี่ยนแผนหลายๆ อย่าง เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการรักษาความปลอดภัยและกฎข้อบังคับของ ศบค. เช่น ช่วงทานเลี้ยงจากตอนแรกตั้งใจจัดเป็นแบบค็อกเทลก็เปลี่ยนเป็นโต๊ะจีน Individual Serve งดเสิร์ฟแอลกอฮอล์ ตัดช่วง After Party ออกไป และลดจำนวนแขกลงจาก 500 คน เป็นไม่เกิน 300 คนเท่านั้น

       และแม้ว่าแถลงการณ์สำหรับเดือนพฤศจิกายนจะผ่อนปรนให้สามารถจัดงานเลี้ยงได้ตามความเหมาะสมแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยและความสบายใจของแขกที่มาร่วมงาน เราก็ได้เตรียมชุดตรวจหาเชื้อ ATK, พยาบาล รวมถึงห้องตรวจและห้องพักคอยไว้โดยเฉพาะด้วย ซึ่งก็ได้คุณซีและโรงแรมช่วยประสานงานอย่างดีอีกเช่นเคยค่ะ

       สำหรับการจัดงานในครั้งนี้เป็น Big Event ของเราทั้งคู่เลย เราใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับมันนานมาก หาเอง เตรียมเองทุกขั้นตอน ซึ่งไม่ง่ายเลยจริงๆ ไหนจะกังวลว่าแขกผู้ใหญ่จะไม่อินกันงาน ทั้งเรื่องลำดับพิธีการต่างๆ สถานที่ที่ไม่ได้ตกแต่งหวานฟุ้งเหมือนงานทั่วไป ไหนจะเรื่องความปลอดภัยของแขก แต่พอถึงวันงาน บอกเลยว่าหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เราเห็นทุกคนมีความสุข สนุกไปกับสิ่งที่เราเตรียม เสียงตอบรับจากทุกคนคือรอยยิ้มของพวกเรา ต้องขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ส่งกำลังใจอย่างล้นเหลือให้เรามี Energy เกินร้อย ลุยจนจบงานได้แบบสบายๆ 

       และถ้าให้พูดถึงความประทับใจ เรารักทุกสิ่งในงานของเราจริงๆ สถานที่ที่สะดวกสบาย เซลล์ที่น่ารักคอยให้คำแนะนำในทุกๆ เรื่องตั้งแต่การตกแต่ง งานเทคนิค จนไปถึงร้านชุด ต้องบอกว่าซัพพอร์ตดีขนาดที่ว่าเราไม่ต้องจ้างแพลนเนอร์เลยค่ะ(หัวเราะ) ในส่วนของอาหารก็อร่อย เป็นอาหารไทยในมื้อเช้า ต่อด้วยอาหาร Western แบบ Food stall ในช่วงเที่ยง และโต๊ะจีนในช่วงเย็นแบบแยกเสิร์ฟ เรียกได้ว่าครบจบทุกสไตล์ในวันเดียวเลยค่ะ

แนะนำบ่าวสาว

คุยกันให้เยอะ : ไม่ว่าจะเป็นเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวเอง หรือกับครอบครัว ชอบ ไม่ชอบอะไร บอกให้รู้ถึงความต้องการของแต่ละฝ่าย แล้วอย่าทำให้ผู้ใหญ่รู้สึกว่าไม่ได้มีส่วนร่วม บ่าวสาวอาจจะอยากทำอะไรที่ชอบ แต่ในมุมของผู้ใหญ่เขาก็อยากเตรียมงานกับลูกหลานด้วย แล้วยังมีเรื่องพิธีการ ประเพณีของแต่ละครอบครัว ถ้าเราปรึกษา พูดคุยกับผู้ใหญ่ให้ชัดเจน จะทำให้การเตรียมงานง่ายขึ้นและผ่านไปได้รวดเร็วค่ะ

ความสำคัญของสัญญา : ยิ่งเตรียมงานกันเองและเตรียมงานนาน อาจจะมีบางจุดที่ตกหล่นหลงลืมไปบ้าง ก่อนจะเซ็นสัญญาอะไร อยากให้เช็คให้ละเอียด มีอะไรให้คุยกันให้จบตั้งแต่แรก เพราะจะเป็นการช่วยปกป้องเราเอง ถ้าไปเจอร้านที่ไม่อะลุ่มอล่วยให้อาจจะทำให้การเตรียมงานมีความยากขึ้นค่ะ

คำนวณงบให้ดี : เพราะอาจมีบางอย่างที่เราตกหล่น เช่น มีงบช่างภาพแต่ลืมกันส่วนของช่างวีดีโอ ทำให้จะต้องปรับงบกันใหม่ แล้วถ้าเราไม่มีงบเพิ่มจะกลายเป็นว่าต้องไปเบียดกับงบส่วนอื่นและทำให้งานออกมาไม่ได้ตามที่คิดค่ะ

ค้นหาตัวตนให้เจอ : เตรียมทำการบ้านให้ดีในทุกๆ ส่วน หาให้เจอว่าเราอยากให้ตัวเองเป็นแบบไหน งานออกมาเป็นยังไง เพื่อเวลาเลือกตัดสินใจอะไร จะได้รับมาซึ่งสิ่งที่พึงพอใจ และคุ้มค่าที่สุดค่ะ

Photo : Sriprat Photo / Moovefilm.bkk